ไร่กำนันจุล ก่อตั้ง เมื่อปี พ.ศ.2479 โดยท่านกำนันจุล คุ้นวงศ์ ซึ่งได้รับการยกย่อง
ให้เป็นเกษตรกรแนวหน้าในการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อช่วยเพิ่มผลผลิต
พัฒนาคุณภาพ และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ไร่บีเอ็น เป็นสถานที่จำหน่ายของที่ระลึก และผลผลิตทางการเกษตรเมืองหนาวที่สวยงาม มีการจัดสวนตกแต่งสถานที่ด้วยไม้ดอกไม้ประดับ และพันธุ์ไม้หายากหลายชนิด นอกจากนี้ยังมีสวนผลไม้ การปลูกพืชผักประเภทต่างๆ เหมาะสำหรับการศึกษาระบบทัศนศึกษาเชิงเกษตรกรรม (Agrotourism) ที่มีความหลากหลายของพันธุ์พืชเมืองหนาว มีการนำชมภายในไร่แบบวงรอบ บรรยายในลักษณะเข้าใจง่ายสลับกับการสาธิต สามารถเข้าชมได้ในทุกฤดูกาล โดยจะมีพืชผักผลไม้ต่างชนิดสลับ นอกจากนี้ยังมีการจำหน่ายพันธุ์ไม้และผลผลิตตามฤดูกาล
เป็นไร่ที่นักท่องเที่ยวมักแวะมาซื้อพืชผัก ผลไม้เมืองหนาวสด ๆ นานาชนิดตามฤดูกาล เช่น บรอคคอรี่ ฟักแม้ว ผักกาดแก้ว มะเขือม่วง มะระหวาน สตรอเบอรี่ ลิ้นจี่ น้อยหน่าออสเตรเลีย แมคคาเดเมียนัท อโวคาโด ลูกพลับ ผลไม้แปรรูปทั้งอบแห้ง กวน แช่อิ่ม และแยม รวมทั้งไม้ดอกไม้ประดับหลายชนิด เช่น เบิร์ด ออฟ พาราไดซ์ ดาหลา ตระกูลเฮลิโกเนีย นอกจากนี้นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมสวนเกษตรภายในแปลงผัก พันธุ์ไม้ของไร่ได้
การเดินทาง จากทางหลวงหมายเลข 12 เส้นพิษณุโลก-หล่มสัก หลักกิโลเมตรที่ 100 บริเวณบ้านแค้มป์สน แยกเข้าทางหลวงหมายเลข 2196 ประมาณ 3 กิโลเมตร จะเห็นป้ายแสดงทางเข้าไร่และแยกขวาไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร เปิดให้ชมทุกวันระหว่างเวลา 8.30 - 17.00 น. โทร. 0 5675 0419
การเดินทาง จากทางหลวงหมายเลข 12 เส้นพิษณุโลก-หล่มสัก หลักกิโลเมตรที่ 100 บริเวณบ้านแค้มป์สน แยกเข้าทางหลวงหมายเลข 2196 ประมาณ 3 กิโลเมตร จะเห็นป้ายแสดงทางเข้าไร่และแยกขวาไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร เปิดให้ชมทุกวันระหว่างเวลา 8.30 - 17.00 น. โทร. 0 5675 0419
ไร่กำนันจุล ( ฟาร์มสเตย์ ) ตั้ง อยู่กิโลเมตรที่ 202 ทางหลวงหมายเลข 21 เส้นสระบุรี-หล่มสัก ก่อนถึงตัวเมืองเพชรบูรณ์ 21 กิโลเมตร ใกล้สามแยกวังชมภู เป็นผู้บุกเบิกการทำไร่ส้มเขียวหวาน ส่งออกขายทั่วประเทศ และประเทศเพื่อนบ้าน รายแรก ๆ ของประเทศไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2479 ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตรบนเนื้อที่กว่า 10,000 ไร่ มีลักษณะเป็นสวนเกษตรแบบผสมผสาน มีพื้นที่บ่อปลา 3,000 ไร่ มีสมาชิกเกษตรกรปลูกหม่อนเลี้ยงไหม 2,600 ราย ใน 26 จังหวัดของประเทศ มีสวนผลไม้ อาทิ สวนส้ม 1,200 ไร่ 200,000 ต้น มีส้มโชกุน(ส้มเขียวกำนันจุล) 90% ส้มโอ(ขาวกำนันจุล) และ ส้มเช้ง 10%
สวนสละพันธุ์หม้อ ที่ปลูกรายใหญ่ที่สุดของประเทศ บนพื้นที่ 200 ไร่ ซึ่งให้ผลผลิตตลอดทั้งปี
กิจกรรมท่องเที่ยว
1. ชมประวัติกำนันจุล และการสืบทอดเจตนารมณ์ของคนรุ่นหลัง
2. ชมขั้นตอนการผลิตเส้นไหม ด้วยเครื่องจักรที่ทันสมัยที่สุดในโลก
3. ชมการเลี้ยงไส้เดือนแบบอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดสารเคมีในสวน
4. ชมสวนสละ และสาธิตวิธีการผสมเกสรสละ
5. ชมการเลี้ยงไหมของเกษตรกร
6. ชมการทำประมงน้ำจืดขนาดใหญ่บนพื้นที่ 3,000 ไร่
7. ชมสวนส้มโชกุน, ส้มโอ, ส้มเช้ง
8. กิจกรรมการตกปลา
กิจกรรม 1 - 4 สามารถชมแบบเช้าไป เย็นกลับได้
กิจกรรม 1 - 8 แบบค้างคืน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณณฤมณ โทร 0 5677 1101 - 4, 08 9960 3481 หรือ www.chulthai.com
ประเพณีอุ้มพระดำน้ำเป็นประเพณีของชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ที่มีความเชื่อถือศรัทธาต่อพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง คือพระพุทธมหาธรรมราชา ซึ่งปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดไตรภูมิ จากตำนานเล่าสืบกันมาว่า ย้อนหลังไปประมาณ ๔๐๐ ปี ชาวประมงกลุ่มหนึ่งออกหาปลาบริเวณลำน้ำป่าสัก ซึ่งในสมัยนั้นมีปลาชุกชุมมาก วันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ประหลาด ทั้งวันไม่สามารถจับปลาได้เลย และกระแสน้ำก็เกิดหยุดไหล มีพรายน้ำผุดขึ้นทีละฟอง และมากขึ้นตามลำดับ แล้วเปลี่ยนเป็นวังวนวงใหญ่และลึกมาก ปรากฏพระพุทธรูปองค์หนึ่งลอยจากใต้น้ำขึ้นมาอยู่เหนือน้ำ ชาวประมงจึงอัญเชิญขึ้นมาประดิษฐานบนบกให้ผู้คนทั้งหลายได้กราบไหว้บูชา และได้นำไปประดิษฐานไว้ที่วัดไตรภูมิ ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของตัวเมืองเพชรบูรณ์ เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องสมัยลพบุรีลักษณะงดงาม ชาวบ้านจึงขนานนามว่า พระมหาธรรมราชา
บางตำนานก็เล่าว่า มีสามีภรรยาคู่หนึ่งไปทอดแหในแม่น้ำป่าสัก พายเรือจากบ้านไปเรื่อย ๆ จนถึงบ้านนาสารก็หาปลาไม่ได้ พอไปถึงวังน้ำลึกก็ทอดแหลงไป แต่ดึงแหไม่ขึ้น จึงดำน้ำลงไปก็พบพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามมาก จึงนำมาประดิษฐานที่วัดไตรภูมิ ปรากฏว่าประดิษฐานได้ปีเดียวก็หายไปจากตู้กระจก วันหนึ่งหลวงตารพราหมณ์ได้ไปทำทำนบกั้นน้ำ วิดปลาจนน้ำเริ่มแห้งขอด พอใกล้สว่างก็พบพระทองเหลืองอร่าม เป็นองค์เดียวกันกับพระที่หายไปจากวัดไตรภูมิ จึงอัญเชิญไปไว้ที่วัดอีก พระอาจารย์ที่วัดจึงไปหาหมอมาสะกดด้วยการตอกตะปูที่อุ้งพระบาท จึงไม่สามารถหลบไปได้อีก หากปีใดมีความแห้งแล้งเกิดขึ้น ก็จะทำพิธีบวงสรวงโดยยกเป็นศาลเพียงตาสามวันสามคืน หากต้องการให้ฝนตกตามฤดูกาล ก็อัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชาแห่รอบเมือง มีการสวดคาถาด้วยก็จะบันดาลให้ฝนตกตามฤดูกาลได้
จากตำนานที่พระพุทธรูปได้หายไปจากวัดไตรภูมิถึง ๒ ครั้ง ดังนั้นจึงได้มีพิธีนำพระพุทธรูปไปดำน้ำป่าสัก ปีแรกมีการอุ้มพระพุทธรูปมาดำน้ำที่เกาะวังศาล ครั้งที่ ๒ ได้นำพระพุทธรูปมาดำน้ำที่วัดโบสถ์หรือวัดโบสถ์ชนะมารมาจนถึงปัจจุบัน
พิธีอุ้มพระดำน้ำจะเริ่มจากการแห่พระวนรอบเมือง เวลา ๑๓.๐๐ นาฬิกา หลังจากทำพิธีแห่รอบเมืองแล้ว จะนำพระพุทธมหาธรรมราชาไปประดิษฐานในปะรำพิธีที่วัดไตรภูมิ เพื่อให้ประชาชนได้มากราบไหว้บูชา ปิดทอง ตอนค่ำจะมีการสวดมนต์เย็น ตกกลางคืนจะมีมหรสพและการละเล่นต่าง ๆ พอวันรุ่งขึ้นจะมีพิธีทำบุญวันสารท ชาวบ้านจะนำภัตตาหารมาถวายที่วัด มีข้าวกระยาสารทพร้อมด้วยเครื่องไทยธรรมต่าง ๆ จะมีพิธีอุ้มพระดำน้ำ มีการรำถวายบวงสรวงด้วยการฟ้อนชุดต่าง ๆ
เมื่อได้ฤกษ์พิธีอุ้มพระดำน้ำ จะเริ่มด้วยการอัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชาลงบุษบกในเรือพิธี บริเวณที่จะอัญเชิญพระพุทธมหาธรรมราชาลงสรงน้ำที่ท่าน้ำวัดโบสถ์ชนะมาร ซึ่งเป็นวังน้ำลึก ผู้ที่รับหน้าที่อุ้มพระพุทธมหาธรรมราชาลงดำน้ำ คือผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยอุ้มพระพุทธรูปลงดำไปยังก้นแม่น้ำ แล้วโผล่ขึ้นมา ทำเช่นนี้จนครบ ๔ ครั้ง ถือว่าเป็นสิริมงคล เชื่อกันว่าหากไม่ได้ทำพิธีอุ้มพระดำน้ำจะเกิดฝนแล้ง
ภายหลังจากที่ได้ผ่านพิธีการอุ้มพระดำน้ำแล้ว ชาวเพชรบูรณ์ถือว่าเป็นน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ จึงกระโดดลงไปอาบน้ำหรือตักขึ้นมาดื่มกิน เสร็จจากพิธีอุ้มพระดำน้ำแล้ว ก็จะเริ่มการแข่งขันเรือประเพณีของจังหวัดซึ่งจัดเป็นประจำทุกปี
พิธีอุ้มพระดำน้ำในปีนี้จะตรงกับวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นวันสารทไทย สอบถามข้อมูลได้ที่ประชาสัมพันธ์จังหวัดเพชรบูรณ์ โทรศัพท์ ๐ ๕๖๗๒ ๙๗๔๖-๗ สำนักงานเทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ โทรศัพท์ ๐ ๕๖๗๑ ๑๔๗๕, ๐๕๖๗๑ ๑๐๐๗ ต่อ ๑๐๒
จังหวัดเพชรบูรณ์อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ ๓๔๖ กิโลเมตร มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายประเภท ทั้งทางด้านประวัติศาสตร์และธรรมชาติ เช่น ไร่บีเอ็น เขาค้อ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว และอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ ฯลฯ
"พระอธิการวิชัยรัตน์ ฐิตธัมโม" หรือ หลวงปู่ขุ้ย แห่งวัดวัดซับตะเคียน ต.ท่าด้วง อ.หนองไผ่
จ. เพชรบูรณ์ เป็นพระภิกษุที่มีใจใฝ่ปฏิบัติธรรมและรักษาธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด
จนได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากญาติโยมเป็นอย่างยิ่ง
แม้ล่วงวัย 86 ปี 64 พรรษา แต่ร่างกายยังดูแข็งแรง เดินเหินคล่องแคล่ว
ขึ้นเขาไปหาสมุนไพรมาทำเป็นยารักษาโรคให้แก่ชาวบ้านได้โดยไม่เหน็ดเหนื่อย
นอกจากนี้ หลวงปู่ขุ้ยยังเป็นพระเกจิสายพระครูวิชิตพัชราจารย์ หรือ หลวงพ่อทบ วัดช้างเผือก
อ.เมือง เพชรบูรณ์ อีกด้วย
อัตโนประวัติ ถือกำเนิดในสกุล ท่อนทอง เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2464 ที่บ้านท่ามะทัน ต.ท่าอีบุญ
อ.หล่มสัก จ. เพชรบูรณ์ โยมบิดา-มารดา ชื่อนายทองดีและนางทองสุข ท่อนทอง
วัยเยาว์เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่บ้านเกิด พออายุได้ 12 ปี บิดาถึงแก่กรรม จึงได้บรรพชา
แต่ด้วยความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา เมื่อเผาศพบิดาเสร็จ โยมมารดาได้ขอให้ลาสิกขา แต่สามเณรไม่ยินยอม
จากนั้นได้เดินทางไปหาหลวงพ่อทบที่วัดชนแดน เพื่ออยู่รับใช้อุปัฏฐาก ตักน้ำ เทกระโถนน้ำหมาก ล้างบาตร
ปัดกวาดเสนาสนะ ด้วยความเมตตาที่หลวงพ่อทบมีต่อสามเณรขุ้ย ท่านได้ถ่ายทอดสรรพวิชาคาถา การทำตะกรุดโทน
ลงเลขยันต์คาถา ผ้ายันต์ และได้ศึกษาวิปัสนากัมมัฏฐานและกำหนดจิต
ผลสัมฤทธิ์ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้สามเณรขุ้ยมีความชำนาญอย่างยิ่ง
ครั้นอายุได้ 22 ปี สามเณรขุ้ย ได้เข้าพิธีอุปสมบท ที่วัดศรีมงคล อ.หล่มสัก เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2486
โดยมีพระมหาหยวก เจ้าคณะอำเภอหล่มสัก เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการคำปัน เป็นพระกรรมวาจาจารย์
และพระอธิการวันดี เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า ฐิตธมโม หมายความว่า ผู้มีจิตใจตั้งมั่นในธรรม
ภายหลังอุปสมบท อยู่ปรนนิบัติรับใช้พระอุปัชฌาย์ 2 พรรษา จึงได้กราบลา เดินทางไปจำพรรษายังวัดชนแดน
เพื่อศึกษาเล่าเรียนวิทยาคมและปฏิบัติกัมมัฏฐาน
เมื่อการปฏิบัติธรรมแก่กล้า ท่านได้กราบลาหลวงพ่อทบ ออกเดินท่องธุดงควัตรไปยังสถานที่ต่างๆ
ทั้งในและต่างประเทศ
ในที่สุด หลวงปู่ได้เดินทางมายังบ้านท่าด้วง ได้เล็งเห็นความเจริญที่จะเกิดขึ้นแก่หมู่บ้านนี้ในอนาคต
ประกอบกับมีป่าไม้ แหล่งน้ำไหลผ่าน ท่านจึงได้หยุดธุดงค์ และชักชวนชาวบ้าน
สร้างวัดขึ้นที่หมู่บ้านซับตะเคียน
หลวงปู่ขุ้ย อยู่จำพรรษาชักชวนชาวบ้านเข้าวัด ฟังธรรม รักษาศีล
จนเป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสของชาวบ้านตราบเท่าทุกวันนี้
รวมทั้งได้รับแต่งตั้งจากคณะสงฆ์ให้เป็นเจ้าอาวาสวัดซับตะเคียนแห่งนี้
ด้านวัตถุมงคล หลวงปู่ขุ้ยได้รับการถ่ายทอดวิชาจากหลวงพ่อทบ
บรรดาคณะศิษยานุศิษย์ที่รู้ในกิตติศัพท์ด้านวิทยาคมของท่าน จึงได้ขอร้องให้ท่านจัดสร้างวัตถุมงคล
เพื่อนำเงินมาจัดสร้างเสนาสนะ ศาลา อุโบสถ
ปัจจุบัน ได้สร้างเสร็จเรียบร้อย สมดังเจตนารมณ์
วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยมสูงคือ ชานหมากปืนแตก พระกริ่งจักรพรรดิ์ ตะกรุดโทน ตะกรุด 9 ชั้น รูปหล่อลอยองค์ และอีกหลายรุ่น
วัตถุมงคลที่สร้างขึ้นมีผู้มาขอบูชาหมดไปในเวลาไม่นาน
และผู้ที่เช่าหาวัตถุมงคลของท่านต่างมีประสบการณ์แคล้วคลาดต่างๆ มากมาย
นอกจากนี้ ท่านยังรดน้ำมนต์ให้แก่ญาติโยม ในแต่ละวันจึงมีผู้เดินทางไปกราบไหว้หลวงปู่ขุ้ยจำนวนมาก
หลวงปู่ขุ้ยเป็นพระที่ทันสมัย ใช้ธรรมะสั่งสอนชาวบ้าน ให้รู้จักทำมาหากินด้วยความสุจริต มีความอดทน
ขยันหมั่นเพียร มิให้ลุ่มหลงมัวเมาในอบายมุข ใช้ชีวิตอย่างสมถะ และพอเพียง
ตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
หลวงปู่ขุ้ย ถือเป็นผู้นำทางคุณธรรมศีลธรรมของชาวบ้านซับตะเคียนอย่างแท้จริง
ด้วยความที่เป็นพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ไม่สะสม และยึดติดในอติเรกลาภ ชาวบ้านทั้งอำเภอ ต่างจังหวัด
จึงให้ความเคารพศรัทธา ด้วยกุศลจิตอย่างแท้จริง
นับได้ว่า เป็นพระดีอีกรูปหนึ่งแห่งเมืองมะขามหวาน
ตะกรุดคู่ชีวิตตำรับแท้และดังเดิมขลังแรงหายากในยุดปัจจุบัน
แต่ใช่สิ้นหวังซะทีเดียวยังมียอดพระมหาเถราจารย์ที่สืบทอดวิชาสุดยอดตะกรุดคู่ชีวิตที่ยิ่งยงด้วยอภิญญารูปหนึ่ง นั้นคือหลวงปู่ขุ้ย แห่งวัดซับตะเคียน
สายวิชา หลวงพ่อเงินวัดบางคลาน
ถ่ายทอดวิชาตะกรุดคู่ชีวิตให้หลวงพ่อพิธวัดระฆังจากนั้นวิชาตกทอดมาถึงหลวงพ่อทบ วัดชนแดน
ผู้เป็นศิษย์หลวงพ่อพิธ หลวงพ่อทบ ได้ถ่ายทอดวิชา ให้ หลวงปู่ขุ้ย ผู้เป็นศิษย์เอกรูปเดียวของท่าน
ถึงกาลเวลาที่ตำนานยอดเครื่องรางอันทรงคุณค่ามีพลังนี้ได้ถูถจัดสร้างขึ้นโดยหลวงปู่ขุ้ย
ผู้เชี่ยวชาญแกร่งกล้าในเวทยาคมยิ่งนักให้คงความเข้มขลังอย่างกับตำนานตะกรุดคู่ชีวิตอมตะหลวงพ่อเงิน
หลวงพ่อพิธ หลวงพ่อทบ ผู้เป็นบูรพาจารย์
หลวงปู่อ่อนน้อมถ่อมตนมิทับรอยครูบาอาจารย์ท่านบอกตะกรุดคู่ชีวิตที่ขลังแรงด้วยครูทั้ง 3
มาประสิทธฺเมให้ยกถวายความดีบูชา พระคุณบรมครูทุกองด์คู่ชีวิต รุ่นแรกส้างเมื่อ เดือน 9
ปีนี้ที่วัดออกให้บูชา 2 วันหมดที่ศูนย์กรุงเทพ
เปิดบูชาครึ่งวันหมดปัจจุบันราคาพุ่งขึ้นหลายพันใกล้หมื่นไปทุกที
ตะกรุดคู่ชีวิตก่อปาฎิหาริย์ แคล้วคลาด
ทหารที่ปัตตานี นราธิวาสปลอดภัยไม่เป็นไร
วัยรุ่นยกพวกตีกันที่ตลาดมีนบุรี โคนฟันเสื้อขาดไม่เป็นอะไร
และมีการทดสอบกับอาวุธปืน ยิงมิโดนตะกรุดเลย หมดกระสุนไปหลายสิบนัด
ตะกรุดคู่ชีวิตรุ่นแรก ถูถขนานนามว่า รุ่นรอดลูกปืน ( เพราะลูกปืนยิงไม่โดน และใครมีไว้ก็ไม่ตายโหงครับ)
หลวงพ่อทบ ธัมมปัญโญ (พระครูวิชิตพัชราจารย์) เทพเจ้าแห่งความเมตตา มีพลังจิตแก่กล้าเหลือธรรมชาติวัดพระพุทธบาทชนแดนอ.ชนแดน จ. เพชรบูรณ์
หลวงพ่อทบ ธัมมปัญโญ ความจริงท่านเป็นพระเถระรุ่นเก่า แต่เป็นด้วยเหตุว่าท่านมีอายุ และพรรษาที่ยาวนาน ท่านได้มรณภาพเมื่อปี พ.ศ.2519 สิริรวมอายุได้ 95 ปี จึงทำให้ท่านเป็นพระเถระที่ไม่เก่าเท่าไรนัก อาจจะเรียกว่าเป็นพระเกจิอาจารย์ร่วมสมัยก็ได้ คือท่านเป็นพระเถระทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่รวมกัน ถึงแม้ว่าหลวงพ่อทบจะได้ละสังขารไปจากพวกเราแล้วก็ตาม แต่ท่านก็ได้สร้างสมคุณงามความดีเอาไว้ทั้งทางโลกและทางธรรม เป็นอเนกอนันต์คุณให้ชนรุ่นหลังได้รำลึกถึงคุณงามความดีของท่านไปอีกนานแสนนาน
ชาติกำเนิด ณ ที่หมู่บ้านยางหัวลม ตำบลนายม(ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นตำบลวังชมภู) จังหวัด เพชรบูรณ์ เมื่อ 114 ปีก่อนโน้น ยังมีครอบครัวของชาวไร่ที่มีฐานะมั่นคงอยู่ครอบครัวหนึ่ง ซึ่งก็เป็นครอบครัวของ คุณพ่อเผือก และคุณแม่อินทร์ นามสกุล ม่วงดี ซึ่งทั้งคุณพ่อเผือกและคุณแม่อินทร์ได้แต่งงานอยู่กินกันมาเป็นเวลานาน โดยมีบุตรคนหัวปีชื่อ เด็กชายหว่าง และบุตรีคนที่สองชื่อ ใบ แล้วก็ไม่ปรากฏว่าจะได้ลูกอีกเลย ตราบจนเวลาล่วงเลยผ่านไปถึงเจ็ดปี คุณแม่อินทร์จึงได้ตั้งครรภ์เป็นครั้งที่สาม เป็นธรรมดาสำหรับผู้มีบุญญาธิการ จะได้มาจุติยังโลกมนุษย์ คุณแม่อินทร์ก็เช่นกัน ขณะที่ท่านจะตั้งครรภ์เป็นครั้งที่สามนั้น ท่านฝันไปว่าได้มีผู้นำช้างเผือกมามอบให้จำนวน 1 เชือก ในฝันท่านก็ได้รับเอาไว้โดยให้เจ้าของเดิมนำไปผูกไว้กับต้นมะขามหน้าบ้าน ช้างเผือกเชือกนี้งดงามมากจริงๆ พอตื่นจากความฝันแล้ว คุณแม่อินทร์จึงปลุกคุณพ่อเผือก แล้วเล่าความฝันให้ฟัง เมื่อคุณพ่อเผือกฟังจนจบแล้ว จึงได้บอกกับคุณแม่อินทร์ว่าเป็นความฝันที่ดี และเป็นนิมิตหมายว่าจะมีผู้มีบุญญาธิการลงมาเกิด และคุณพ่อเผือกยังบอกคุณแม่อินทร์ต่อไปอีกว่าถ้าหากไม่เชื่อแล้วละก็ขอให้คอยดูกันต่อไป หลังจากนั้นอีกไม่นานคุณแม่อินทร์ก็เริ่มตั้งครรภ์ และการตั้งครรภ์ครั้งนี้ก็มีความแตกต่างจากการตั้งครรภ์ทั้งสองครั้งแรกนั้นมาก กล่าวคือ เมื่อคุณแม่อินทร์ตั้งครรภ์ครั้งก่อนๆ นั้นท่านแพ้ท้องอยากจะรับประทานของแปลกๆ เช่น อยากจะรับประทานแกงนก ผัดเผ็ดปลาไหล หรือลาบเลือดเป็นต้น แต่สำหรับครั้งที่สามนี้ ปรากฎว่าคุณแม่อินทร์ท่านรับประทานอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ไม่ได้เลย ถ้าหากว่าวันไหนท่านรับประทานอาหารที่ประกอบไปด้วยเนื้อสัตว์ หรือเพียงได้กลิ่นเนื้อสัตว์ วันนั้นท่านจะรู้สึกไม่สบายไปตลอดทั้งวันเริ่มต้นด้วยเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียนเป็นอย่างนี้ตลอดมาเป็นประจำ ทั้งๆ ที่ก่อนจะตั้งครรภ์คุณแม่อินทร์ก็รับประทานอาหารที่ทำมาจากเนื้อสัตว์ได้ และไม่เคยเป็นอะไรมาก่อน พอตั้งครรภ์บุตรคนที่สามก็เริ่มเป็นอย่างนี้ นับว่าแปลกมาก พอคุณแม่อินทร์ตั้งครรภ์ได้ครบกำหนด 9 เดือน ท่านก็ได้ปวดท้องอย่างแรง และได้คลอดบุตรชายที่น่ารัก น่าเอ็นดูออกมาลืมตาดูโลก เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ2424 ซึ่งตรงกับวันศุกร์ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 4 ปีมะเส็ง ในขณะที่ทารกน้อยกำลังคลอดออกมานั้น กลับมีกิริยาอาการแปลกประหลาดกว่าทารกแรกเกิดโดยทั่วๆ ไป หรืออาจะเป็นนิมิตหมายของผู้มีบุญญาธิการลงมาจุติก้ได้ กล่าวคือโดยปกติทารกแรกเกิดเวลาที่คลอดออกมาจะต้องส่วนหัวหรือส่วนเท้าโผล่ออกมาก่อน แต่ทารกน้อยบุตรชายของคุณแม่อินทร์ เวลาที่คลอดออกมากลับเอาศรีษะและเท้าโผล่ออกมาพร้อมๆ กัน เมื่อคุณพ่อเผือกและคุณแม่อินทร์เห็นบุตรชายคลอดออกมาแตกต่างจากทารกโดยทั่วไปเช่นนั้น จึงได้ตั้งชื่อบุตรชายคนใหม่ของท่านว่า “ ทบ”
วัยเด็ก ในชีวิตวัยเด็กก่อนที่จะบวชเรียนนั้น เด็กชายทบเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะดี จึงไม่ค่อยเดือดร้อนและลำบากเท่าไหร่ เด็กชายทบเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย เป็นเด็กที่ฉลาดอยู่ในโอวาทของบิดามารดา ในสมัยนั้นไม่มีโรงเรียนประชาบาล ถึงมีก็ต้องมีในเมืองใหญ่ๆ พ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดต้องการที่จะให้ลูกหลานเรียนหนังสือก็ต้องนำเอาลูกหลานไปฝากไว้ที่วัด เพื่อให้พระผู้ที่มีวิชาความรู้ได้ฝึกสอนการเขียน การอ่านตัวหนังสือไทย อักขระขอม และคณิตศาสตร์ เท่าที่จำเป็นต้องใช้ในสมัยนั้น เด็กชายทบก็เช่นกัน พออายุได้ 10 ขวบ คุณพ่อเผือกก็ได้นำไปฝากไว้ที่วัดช้างเผือก เพื่อให้เรียนหนังสือไทย หนังสือขอม พร้อมกับคณิตศาสตร์ ซึ่งเด็กชายทบ ก็ไม่ทำให้คุณพ่อเผือกเสียชื่อ ทั้งเขียน ทั้งอ่านได้คล่องแคล่วกว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน จนได้รับคำชมเชยจาก หลวงตากี ซึ่งเป็นครูสอนเด็กชาวบ้านในขณะนั้นว่า เป็นเด็กฉลาดว่านอนสอนง่าย เติบใหญ่ไปภายหน้าจะได้ดีกว่าคนอื่นๆ อุปนิสัยของหลวงพ่อทบ ท่านเป็นคนมีเมตตา เยือกเย็น สุขุม ปรานีต่อสัตว์ทั้งปวง ดังจะเห็นได้จากเรื่องนี้ ก่อนที่หลวงพ่อทบจะออกบวชนั้น แถวนายมเมื่อประมาณหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมายังเรียกว่าเป็นป่าดงดิบ มีแต่ป่าไม้ สัตว์ป่าชนิดต่างๆ ชุกชุมมาก ในสมัยนั้นชาวนาชนบทต้องดำรงชีวิตด้วยอาหารจากป่าเป็นส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นหน่อไม้ หัวเผือก หัวมัน ผลไม้ชนิดต่างๆ ป่าไม้ไม่ถูกทำลาย มนุษย์ก็ยังมีไม่มากเหมือนปัจจุบัน ทุกอย่างอุดมสมบูรณ์ไปหมด ถ้าหากว่าออกไปหาอาหารเพียงชั่วครู่ก็จะได้อาหารติดมือมาทำกับข้าวทันที คนในสมัยก่อนโน้นฝากปากฝากท้องไว้กับธรรมชาติ คือป่าเขาลำเนาไพร ซึ่งผิดกับคนในสมัยนี้อย่างลิบลับ ที่ฝากปากฝากท้องไว้กับร้านอาหาร ดูมันง่ายและสะดวกดี ภายในครอบครัวของหลวงพ่อทบก็เช่นกัน บิดามารดากับคนงานที่จ้างมาทำไร่ ก็มักจะออกหาอาหารในป่าเป็นประจำ และที่ชอบหากันบ่อยก็ได้แก่ ไก่ป่า นกเขา นกคุ่ม เป็นต้น บางทีก็ลงหาตามแม่น้ำลำคลอง ซึ่งที่ได้เป็นประจำคือปลา หอย กบ เขียด เป็นต้น เมื่อหามาได้เป็นจำนวนมาก ก็จะแบ่งให้ญาติพี่น้องเอาไปกินบ้าง ที่เหลือก็จะขังเอาไว้ทำอาหารมื้อต่อไป เด็กชายทบเมื่ออยู่บ้านเห็นพ่อกักขังสัตว์เหล่านี้ไว้ ก็เกิดความสงสารจึงนำสัตว์เหล่านั้น แอบไปปล่อยเข้าป่า แต่ถ้าเป็นปลา กบ เขียด ก็จะนำไปปล่อยตามแม่น้ำ หนอง บึง ต่อไป เมื่อบิดากลับมาจากงานไร่และรู้ว่าท่าปล่อยปลา ปล่อยกบ ไปเสียแล้ว ทำให้บิดาท่านเกิดความโมโหและภาคทัณฑ์ไว้ว่า ถ้าปล่อยอีกจะถูกลงโทษ ต่อมาไม่นานบิดาของท่านไปดักไก่ป่ามาได้และขังเอาไว้ ท่านเข้าก็เกิดความสงสารจึงปล่อยไก่เข้าป่าไป ทำให้บิดาท่านโมโหมาก จึงลงมือทุบตีท่านหลายที แต่แปลกท่านกับยืนรับโทษทัณฑ์อย่างนิ่งเฉย ไม่ร้องไห้ ท่านยืนยอมรับความเจ็บปวดนั้นแต่ผู้เดียว ท่านถูกบิดาทำโทษหลายๆ ครั้งในระยะหลังนี้ก็เพราะท่านเมตตาสงสารสัตว์เหล่านั้น คุณพ่อเผือกเมื่อทำโทษลูกชายบ่อยๆ ลูกชายของท่านก็ไม่ยอมหลาบจำสักที ท่านจึงต้องยอมแพ้ เพราะถ้าตีต่อไปอาจจะเป็นอันตรายเปล่าๆ และท่านก็รู้นิสัยของลูกช่ายท่านดีว่าเป็นคนเด็ดเดี่ยว มีใจเมตตาปรานีต่อสัตว์ ยอมเจ็บตัวเพื่อแลกกับอิสรภาพของสัตว์ต่างๆ อีกทั้งคุณพ่อเผือกก็เกิดความสงสาร เมื่อท่านคิดได้ดังนั้น ท่านจึงเลิกทำโทษลูกชายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลวงพ่อทบในวัยรุ่นๆ นั้น ท่านมีเพื่อนมากมายทั้งในหมู่บ้านยางหัวลม และหมู่บ้านใกล้เคียง บางครั้งก็มักจะพากันมาเยี่ยมเยียนถามข่าวอยู่เสมอ บางคนก็มาชวนท่านให้ไปล่าสัตว์บ้าง ตกปลาหรือหว่านแหบ้าง บางคนก็มาชวนท่านไปเที่ยวสาวๆ บ้านใกล้เคียงบ้าง ซึ่งท่านในขณะนั้นกลับไม่ยินดียินร้ายแต่ประการใด คงได้แต่ปฏิเสธไป ท่านกลับชอบอยู่คนเดียวอย่างสงบ วันๆ ท่านก็เอาแต่เลี้ยงหมู หมา กา ไก่ ไปตามปกติ พอถึงวันพระท่านก็จะไปทำบุญตักบาตรที่วัดช้างเผือกเป็นประจำ เป็นที่ตื่นตาแก่เด็กวัยรุ่นโดยทั่วไป เพราะวัยรุ่นสมัยนั้นมีหลวงพ่อทบคนเดียวที่ชอบไปทำบุญเมื่อยังไม่แก่เฒ่า
บรรพชาและอุปสมบท ลุถึงปี พ.ศ.2440 นายทบ ม่วงดี อายุขณะนั้นได้ 16 ปี ก็บังเกิดความเบื่อหน่ายชีวิตในการครองเรือนที่เห็นว่าไม่มีสาะแก่นสารอันใด หวังเอาพระนิพพานเป็นที่พึ่ง จึงขออนุญาตจากคุณพ่อเผือก และคุณแม่อินทร์ ซึ่งท่านทั้งสองก็มองเห็นความตั้งใจอันดีของลูกชายจึงออกปากอนุญาต และได้นำนายทบ ม่วงดี ลูกชายไปบรรพชาที่ วัดช้างเผือก โดยมี พระอาจารย์สี เจ้าอาวาสวัดช้างเผือกในขณะนั้น เป็นผู้บรรพชาให้ เมื่อเมื่อได้บรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ก็ได้ศึกษาหาความรู้ต่างๆ ในสำนักของพระอาจารย์สี ไม่ว่าจะเป็นพระธรรม พระวินัย สวดมนต์เจ็ดตำนาน สิบสองตำนาน ตลอดจนหัดเทศน์ เรียกได้ว่าท่านไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไร้ประโยชน์อย่างแท้จริง จนถึงปี พ.ศ.2445 สามเณรทบ มีอายุครบ 21 ปี ทางคุณพ่อเผือกและคุณแม่อินทร์ ก็ได้นำสามเณรทบไปทำการอุปสมบทที่ วัดศิลาโมง บ้านนายม ตำบลนายม อำเภอเมือง จังหวัด เพชรบูรณ์ โดยมี ท่านพระครูเมือง เป็นพระอุปัชณาย์ พระอาจารย์ปาน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์สี เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “ธัมมปัญโญภิกขุ” หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านก็ได้กลับไปจำพรรษาที่วัดช้างเผือก 2 พรรษา ในระหว่างนี้หลวงพ่อทบก็ได้ใช้เวลาทั้งหมดศึกษาวิปัสสนากรรมฐานจาก พระอาจารย์สี ซึ่งในขณะนั้นพระอาจารย์สี เป็นพระอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณทางวิปัสสนากรรมฐาน เวทมนตร์คาถา หลวงพ่อทบได้ศึกษาและฝึกฝนจนแก่กล้าเป็นที่ยอมรับของพระอาจารย์สี ต่อมาท่านก็ได้เดินทางไปขอศึกษาวิชาเพิ่มเติมจาก พระอาจารย์ปาน เจ้าอาวาสวัดศิลาโมง ตำบลนายมในสมัยนั้น ซึ่งหลวงพ่อทบก็ได้เรียนวิชากับพระอาจารย์ปานจนสำเร็จสมกับความตั้งใจ พระอาจารย์สีและพระอาจารย์ปาน แท้จริงแล้วทั้งสองท่านนี้เป็นศิษย์ของ หลวงพ่อทรัพย์ตาพรรณ ในครั้งแต่ก่อนโน้นเป็นที่เลื่องลือว่าหลวงพ่อทรัพย์ตาพรรณเป็นผู้วิเศษ มีวาจาอันศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกล่าวอะไรออกมาย่อมเป็นดังคำพูด
ออกแสวงหาความรู้ เมื่อหลวงพ่อทบได้ศึกษาวิชาความรู้จากพระอาจารย์สีและพระอาจารย์ปานจนเจนจบครบถ้วนหมดแล้ว ท่านจึงเข้าไปกราบลาพระอาจารย์สี เพื่อที่จะไปแสวงหาความรู้ต่อไปอีก พระอาจารย์สีเห็นความเด็ดเดี่ยวและตั้งใจจริงของท่าน จึงกล่าวอนุญาตให้ไป พร้อมกันนี้พระอาจารย์สียังได้กล่าวฝากวัดช้างเผือกกับท่านอีกว่า “หากจะถึงวาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว ก็ให้กลับมาพัฒนาวัดช้างเผือก อย่าปล่อยให้ร้างนะ” ซึ่งท่านก็รับคำ จากนั้นท่านก็ได้ออกเดินทางไปจำพรรษาที่ วัดวังโป่ง อำเภอชนแดน จังหวัด เพชรบูรณ์ เป็นเวลาอีก 2 พรรษา พอออกพรรษาจึงคิดที่จะออกจาริกแสวงหาวิชาความรู้ไปในที่ต่างๆ ต่อไปอีก หลังจากที่หลวงพ่อทบได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะออกท่องเที่ยว เพื่อเสาะแสวงหาความรู้อย่างแน่นอนแล้ว หลวงพ่อทบซึ่งในระยะนั้นกิตติศัพท์ชื่อเสียงของท่านยังไม่ค่อยมีใครรู้จัก ก็ได้ออกเดินทางจากวัดวังโป่งทันที โดยออกธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพรแต่เพียงรูปเดียว ในช่วงที่ท่านได้ออกเดินธุดงค์นี้ ท่านได้บำเพ็ญศีลและเจริญภาวนาพร้อมกับแสวงหาวิชา ศึกษาเวทมนตร์คาถาตามถ้า หน้าผา ผนังหินใหญ่ ที่มีผู้จาริกได้เขียนไว้ในสมัยก่อน บางครั้งท่านได้เดินไปตกหุบเขาที่ไม่มีบ้านเรือนคนอาศัยอยู่เลย ซึ่งต้องอาศัยดำรงชีพด้วยผลไม้หรือใบไม้เท่านั้นในการประทังความหิวโหย แต่ท่านก็ไม่ได้ย่อท้อคงพากเพียรที่จะได้ศึกษาวิชาอาคมอย่างไม่หยุดยั้ง เคยมีคนกราบนมัสการถามท่านว่า หลวงพ่อเดินธุดงค์ฉันของป่าไม่กลัวอันตรายหรือ ท่านตอบว่าก็ดูพวกสัตว์ต่างๆ มันกิน ก็ไม่เห็นมันเป็นอันตรายเลยนี่ นอกจากนี้หลวงพ่อทบยังเคยผจญกับโขลงช้างป่า ซึ่งกำลังมุ่งหน้ามายังทิศที่ท่านปักกลดภาวนาอยู่หลายครั้ง พอพวกมันเดินเข้ามาใกล้กลดของท่าน ก็จะมีจ่าโขลงออกมายืนบังกลดของท่านเอาไว้ ไม่ให้ช้างเชือกอื่นๆ เข้ามาใกล้กลดของท่านได้เลย
ผจญเสือสมิง ในป่าดงดิบมักจะมีสิ่งที่เราคาดไม่ถึง เช่น ผีป่า ผีโป่ง ผีกองกอย หรือเสือสมิง หลวงพ่อทบหลุดรอดมาได้ก็ด้วยการอาศัยเจริญเมตตาบารมีเป็นที่ตั้ง ทำให้ผีเหล่านั้นเกรงกลัวไม่กล้าเข้ามารบกวนท่านได้ ครั้งหนึ่งท่านได้เดินธุดงค์ผ่านไปพบกองกระดูกอยู่กับกองผ้าเหลืองเปื่อยๆ ผุๆ พร้อมกับกลดและบาตรที่สิ้นสภาพ หลวงพ่อทบจึงรู้ในขณะนั้นว่าพระธุงดงค์รูปที่มานอนมรณภาพอยู่ตรงหน้านี้ต้องอาบัติในธุดงค์วัตร มีวัตรอันไม่บริสุทธิ์ จึงต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้อย่างน่าอนาถ ท่านจึงได้รวบรวมผ้าเหลือง กระดูก กลด และบาตรเข้าด้วยกันแล้วนำไปฝังอย่างเรียบร้อย พร้อมกับสวดมาติกาบังสุกุลให้เป็นที่เรียบร้อยจึงตกลงใจปักกลดค้างคืนอยู่ที่ตรงนั้น พอตกดึกในคืนนั้นเอง ขณะที่ท่านกำลังทำสมาธิภาวนา พลันก็มีสิ่งแปลกปลอมเดินเข้ามาใกล้กลด กลิ่นสาบสางคละคลุ้งโชยเข้าจมูกแทบจะสำลัก หลวงพ่อทบยังคงนั่งสมาธิภาวนาอย่างแน่วแน่ ไม่ยอมขยับเขยื้อน เจ้าเสือพานกลอนขนาดใหญ่เห็นท่านไม่เกรงกลัวมัน มันจึงแยกเขี้ยวขู่คำรามอย่างดุร้ายหมายจะกัดกินท่านเป็นอาหาร ท่านจึงรวบรวมจิตแผ่เมตตาออกไปให้กับเสือ พร้อมปากก็พูดว่า “เอ็งหากินของเอ็ง ข้าก็ออกธุดงค์เพื่ออยู่ในทางธรรม เอ็งอาศัยสัตว์น้อยใหญ่ต่อชีวิต ข้าก็อาศัยภัตตาหารดำรงชีวิต เอ็งมาข้าก็ดีใจ ไม่มีอะไรก็นอนเสียเถิด” หลังจากกล่าวจบแล้ว หลวงพ่อทบก็น้อมชีวิตเป็นพุทธบูชา โดยอธิษฐานว่า หากเสือกับท่านมิได้เคยผูกพยาบาทอาฆาตจองเวรต่อกันในชาติปางก่อน ก็ขอให้เสือหลีกทางให้ ถ้าเคยผูกเวรกันมาก็ขอให้เอาท่านไปกินเพื่อชดใช้กรรม เป็นที่อัศจรรย์ปรากฏว่าเสือตัวนั้นหยุดคำราม และทำตามคำสั่งของท่านอย่างว่าง่าย เหมือนพูดกับนักเรียน มันลดความดุร้ายลง และค่อยๆ ล้มตัวลงนอนข้างๆ กลดของท่าน ส่วนท่านก็ได้เจริญสมาธิภาวนาจนรุ่งเช้า พอท่านลืมตาขึ้นมาดูอีกครั้ง ก็พบว่าเสือสมิงได้หายไปจากที่มันล้มตัวนอนเมื่อคืนนี้ คงเหลือแต่รอยเท้าของมันที่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ หลังจากนั้นท่านก็ได้เดินธุดงค์ต่อไป จนกระทั่งได้พบกับพระธุดงค์อีกรูปหนึ่ง จึงได้ชักชวนกันเดินธุดงค์ไปจนทะลุถึงเขตชายแดนพม่า ณ ที่นั้นเอง หลวงพ่อทบและพระธุดงค์รูปนั้นก็ได้แสดงอภินิหารซึ่งกันและกัน และได้แลกเปลี่ยนวิทยาคม จนเป็นที่พอใจแล้วต่างก็แยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง หลวงพ่อทบได้เดินธุดงค์ต่อไปจนถึงประเทศลาว ท่านได้เคยรู้จักคุ้นเคยกับพระเณรที่เวียงจันทร์หลายรูปด้วยกัน เมื่ออยู่ที่นครเวียงจันทร์ ท่านได้ช่วยเหลือพระเณรที่นั่นก่อสร้างสิ่งต่างๆ จนสำเร็จหลายแห่ง จนเป็นที่ชื่นชอบอัธยาศัยของพระเณรในเวียงจันทร์มาก ถึงกับนิมนต์ให้ท่านประจำวัดอยู่ด้วยกันตลอดไป แต่ท่านได้ปฏิเสธไป เพราะท่านยังมีภาระที่จะต้องทำอีกมาก เมื่อหลวงพ่อได้ปฏิเสธในการอยู่เวียงจันทร์แล้ว ท่านก็ได้เดินธุดงค์ออกจากเวียงจันทน์มุ่งหน้ามายังประเทศไทย ท่านเดินลัดเลาะจนมาถึงเขตชายแดนไทยติดต่อกับเขมรที่จังหวัดตราด ท่านได้เดินธุดงค์เข้าไปในเขตของเขมรต้องผจญกับพวกเขมรต่ำเจ้าแห่งอวิชชามนต์ไสยดำทั้งปวง ต้องกัน ต้องแก้ และทำลาย เรียกว่าไม่มีวิชาอาคมกล้าแข็งจริงๆ แล้ว ก็จะถูกพวกเขมรต่ำทดลองด้วยมนตร์ไสยดำ เช่น ยาสั่งบังฟันหรือบิดไส้ แต่ท่านก็สามารถเอาชนะพวกเดรัจฉานวิชาเหล่านี้ได้ ทำให้พวกเขาเหล่านั้นพากันศรัทธาในตัวท่านมาก นิมนต์ให้ท่านอยู่จำพรรษาในเขตแดนของเขมรตลอดไป แต่ท่านได้บอกปฏิเสธและได้เดินทางเข้าประเทศไทย ในที่สุดการเดินทางมหาธุดงค์แบบมาราธอนของหลวงพ่อทบก็สิ้นสุดลง จะเห็นได้ว่าท่านเดินด้วยเท้าเปล่าๆ ไปตามทางทุรกันดารแสนจะลำบากยากเข็ญ บางครั้งธุดงค์ไปในที่ห่างไกลหมู่บ้าน มีแต่ป่าดงดิบ และอาหารการกินก็ไม่มี ต้องฉันยอดไม้กับใบไม้แทนข้าว แต่ท่านก็ไม่เคยย่อท้อ ท่านได้เดินธุดงค์จากอำเภอชนแดน จังหวัด เพชรบูรณ์ ไปถึงเขตชายแดนพม่าแล้วย้อนกลับไปประเทศลาว และสุดท้ายก็เข้าชายแดนเขมร นับว่าท่านได้เดินทางด้วยเท้าเปล่าหลายพันกิโลเมตร
กลับมาตุภูมิ หลวงพ่อทบได้เดินธุดงค์รอนแรมไปเป็นเวลานานๆ จนกระทั่งท่านเห็นว่าสมควรแก่เวลา และวิชาอาคมที่ท่านได้รับมานี้ก็พอที่จะนำไปสงเคราะห์ให้กับชาวบ้านญาติโยมผู้ยากไร้ได้แล้ว อีกทั้งท่านก็จะได้กลับไปประกอบศาสนกิจอุทิศตนเป็นพุทธบูชายังดินแดนที่ท่านได้ถือกำเนิด เพื่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง เป็นมิ่งมงคลต่อบวรพระพุทธศาสนา เมื่อคิดได้ดังนั้นท่านจึงได้ออกเดินทางจากชายแดนเขมร โดยมีจุดมุ่งหมายปลายทางคือ วัดศิลาโมง ตำบลนายม อำเภอเมือง จังหวัด เพชรบูรณ์ เมื่อท่านได้มาจำพรรษาที่วัดแห่งนี้แล้ว ท่านได้ทำการบูรณะวัดครั้งใหญ่ มีการสร้างกุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ ขุดบ่อน้ำ ที่สำคัญท่านได้ทำการก่อสร้างพระอุโบสถขึ้นจนสำเร็จ ใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้ดีจนทุกวันนี้
เรียนวิชากับหลวงปู่ศุข หลังจากที่หลวงพ่อทบได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดศิลาโมงแล้ว ท่านยังคงตั้งใจที่จะแสวงหาวิชาความรู้อยู่อย่างไม่หยุดยั้ง เมื่อท่านทำการบูรณปฏิสังขรณ์วัดศิลาโมงเข้าที่เข้าทางแล้ว ท่านได้ยินชื่อเสียงเกียรติคุณของ พระครูวิมลคุณากร หรือ หลวงปู่ศุข แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ว่าเป็นผู้สำเร็จวิชา 8 ประการ ซึ่งมีน้อยองค์นักที่จะสำเร็จได้ ท่านจึงได้เดินธุดงค์ออกจากวัดศิลาโมง มุ่งหน้าไปที่จังหวัดชัยนาท ในที่สุดท่านก็ได้กราบนมัสการหลวงปู่ศุขสมความปรารถนา และที่วัดปากคลองมะขามเฒ่านี้เอง ท่านก็ได้พบกับพระเกจิอาจารย์อีก 2 รูปที่ได้เดินทางมากราบนมัสการหลวงปู่ศุข เพื่อขอเรียนวิชาก่อนหน้าที่ท่านจะมาคือ 1. หลวงพ่อเอีย วัดบ้านด่าน 2. หลวงพ่อหน่าย วัดบ้านแจ้งการเรียนวิชาจากหลวงปู่ศุขนั้นก่อนที่ท่านจะมอบวิชาอาคมอะไรก็ตามให้กับศิษย์นั้น ท่านจะทดสอบพลังจิตของศิษย์แต่ละองค์เสียก่อนว่ามีความกล้าแข็งสักเพียงใด จากนั้นจะถามถึง วัน เดือน ปี เกิด ของแต่ละองค์เสียก่อน ซึ่งการที่ท่านต้องทดสอบและไต่ถามก็เพื่อท่านจะได้ทราบถึงความสามารถ วาสนา บารมีของแต่ละองค์ ว่ามีมากน้อยเพียงใด ควรจะมอบวิชาอะไรให้ถึงจะเหมาะสมที่สุด ซึ่งหลวงปู่ศุขท่านก็ได้มีเมตตา มอบวิชาอาคมต่างๆ ให้กับหลวงพ่อทบหลายอย่าง ซึ่งท่านก็ได้ใช้วิชาเหล่านั้นสงเคราะห์ญาติโยมมาตลอดชีวิตของท่าน
มอบตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อเง่า หลังจากที่หลวงพ่อทบได้กลับจากการธุดงค์ไปกราบนมัสการท่านพระครูวิมลคุณากรหรือหลวงปุ่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งหลวงพ่อทบก็ได้เดินธุดงค์กลับมาจำพรรษาที่วัดศิลาโมงตามเดิม หลังจากนั้นในระหว่างปี พ.ศ. 2461-พ.ศ.2468 หลังจากการออกพรรษาทุกปี ท่านได้ใช้เวลาในช่วงนี้เดินทางไปกราบนมัสการขอเรียนวิชาอาคมเพิ่มเติมกับ ท่านพระครูสังวรธรรมคุต หรือ หลวงพ่อเง่า พระเถระผู้เฒ่า อดีตเจ้าอาวาสวัดศรีภูมิ(วัดบ้านติ้ว) และอดีตเจ้าคณะจังหวัดหล่มสัก ซึ่งท่านก็ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อเง่า และหลวงพ่อเง่าได้มีความเมตตาถ่ายทอดพระเวทวิทยาคมให้กับท่านอย่างไม่มีปิดบังอำพราง ไม่ว่าจะเป็นทางเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพัน มหาอุด มหาอำนาจ กำบัง ล่องหนหายตัว ซึ่งท่านก็ใช้เวลาหลังออกพรรษาถึง 3 ปี จึงได้เล่าเรียนจนสำเร็จ
พัฒนาวัดต่างๆ ภายหลังจากที่หลวงพ่อทบได้ไปเรียนพระเวทวิทยาคมจากหลวงพ่อเง่าแล้ว ท่านเห็นว่าวิชาอาคมของท่านนั้นได้เรียนเอาไว้มากแล้ว สมควรที่จะช่วยเหลือสงเคราะห์ญาติโยมผู้ตกทุกข์ได้ยาก ตลอดจนพัฒนาวัดวาอารามในท้องถิ่นแถบนี้ให้เจริญขึ้นมาให้ได้ ท่านจึงได้ยุติการเดินธุดงค์เอาไว้ก่อน และได้ใช้เวลาเท่าที่มีอยู่ทั้งหมดสงเคราะห์ญาติโยม และได้สร้างถาวรวัตถุในบวรพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาให้ได้ โดยท่านได้สร้างพระอุโบสถให้กับวัดต่างๆ ถึง 16 หลัง พอถึงหลังที่ 17 ท่านได้วางเพียงศิลาฤกษ์เท่านั้น ท่านก็มามรณภาพเสียก่อน ในขณะที่ท่านกำลังพัฒนาวัดวาต่างๆ นั้น ท่านได้รับการแต่งตั้งจากคณะสงฆ์ให้เป็นพระคู่สวดเมื่อปี พ.ศ.2455 ท่านอายุได้ 29 ปี พรรษา 9 ตอนนั้นท่านกลับมาจากการเดินธุดงค์และจำพรรษาที่วัดศิลาโมง พอถึงปี พ.ศ.2490 ท่านอายุได้ 66 ปี พรรษา 45 ท่านก็ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ และพอถึงปี พ.ศ.2497 ท่านมีอายุได้ 73 ปี พรรษา 53 ท่านก็ได้รับเลื่อนสมณศักดิ์เป็นเจ้าคณะอำเภอชนแดน และได้รับการสถาปนาจากกรมการศาสนาเป็น พระครูวิชิตพัชราจารย์
อุปนิสัยของหลวงพ่อทบ หลวงพ่อทบ ท่านมีรูปร่างเล็กแกร่ง นิ้วมือของท่านเรียวงาม ฝ่ามืออ่อนนุ่ม ยามเมื่อท่านลูบหัวศิษย์จะรู้สึกว่า นุ่มประดุจฝ่ามือของบิดามารดาถนอมบุตรกระนั้น หลวงพ่อทบเป็นพระเถระที่พูดน้อยไม่ค่อยจะช่างคุย ถามคำท่านก็ตอบคำมิได้เสแสร้ง แต่ท่านได้สำรวมมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว นัตย์ตาของท่านมีประกายแวววาวแสดงถึงความมีอำนาจทุกคนที่เคยไปกราบนมัสการท่านจะบอกเป็นเสียงด้วยกันว่า นัตน์ตาของท่านมีมหาอำนาจและไม่กล้าสบตากับท่านตรงๆ แต่ว่าในความมีอำนาจนั้นจะแฝงแววแห่งความเมตตาเอาไว้ด้วย ในการต้อนรับแขกที่เดินทางไปกราบนมัสการท่านในแต่ละวันนั้น ท่านจะตอนรับอย่างเสมอภาคกัน ไม่เคยเลือกฐานะหรือความคุ้นเคยเป็นหลักแม้แต่น้อย ใครมาก่อนพบก่อน ใครมาทีหลังพบทีหลัง คนรวยคนจนในสายตาของท่านก็คือคนเหมือนกัน ถ้าท่านสงเคราะห์ได้ท่านก็จะรีบสงเคราะห์ให้ด้วยความเต็มใจ ไม่เคยเห่อเหิมในยศฐาบรรดาศักดิ์ ท่านถือว่าลาภ ยศ สรรเสริญ เป็นโลกธรรม แม้สมณศักดิ์ที่ได้รับมาท่านก็คงวางเฉยไม่ยินดียินร้าย ท่านยังคงเป็นหลวงพ่อทบ หรือพระอธิการทบธรรมดาๆ ท่านเคยอยู่อย่างไร ท่านก็อยู่อย่างนั้น ทรัพย์สินเงินทองที่เขาถวายท่านมา ท่านก็นำไปลงทุนไว้ในพระพุทธศาสนาจนหมดสิ้น เมื่อท่านถึงกาลมรณภาพก็ไม่มีทรัพย์สินอะไรที่มีค่าพอจะเอามาประกอบพิธีศพของท่านได้ เป็นที่ซาบซึ้งของบรรดาศิษยานุศิษย์เป็นอันมาก ในความมักน้อยสมถะของท่าน อีกประการหนึ่งที่ท่านได้สั่งสอนอบรมอยู่เสมอนั่นก็คือ ความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ เพราะท่านเองนั้นได้ทำเป็นตัวอย่างแกศิษยานุศิษย์ ก็คือ ท่านได้มีความกตัญญูต่อบรรดาพระอาจารย์ของท่านที่ล่วงลับไปแล้ว โดยท่านทำบุญกุศลถวายอยู่เป็นประจำทุกปี ในเวลาว่างถ้าหากท่านได้สนทนากับลูกศิษย์เป็นที่ถูกคอแล้ว ท่านมักจะเอ่ยถึงนามพระอาจารย์ของท่านให้ศิษย์ฟังอยู่เสมอ เช่น หลวงปู่ศุข เก่งอย่างนั้น หลวงพ่อเง่าท่านเก่งอย่างนี้ พระอาจารย์สีกับพระอาจารย์ปานเก่งไปอีกอย่างหนึ่ง เป็นต้น ซึ่งนามของพระอาจารย์ของท่านที่ท่านเอ่ยออกมาเป็นการยกย่องไว้เหนือเกล้า ไม่มีการลบหลู่ดูหมิ่นเป็นอันขาด ปากของท่านก็มีประกาศิตเหมือนปากของพระร่วงเลยทีเดียว พูดคำไหนเป็นคำนั้น ให้พรใครคนนั้นก็เจริญก้าวหน้า ถ้าเผลอสาปแช่งหรือดุด่าก็จะเป็นไปตามปากของท่านทุกประการ นับว่าน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เป็นที่เลื่องลือและกล่าวขานกันมาก ในระหว่างที่ท่านยังมีชีวิตอยู่จึงมีคนเดินทางไปขอพรท่านอย่างเนืองแน่นทุกวันมิได้ขาด
รับตำแหน่งเจ้าอาวาส ภายหลังจากที่หลวงพ่อทบได้กลับมาจากการเดินธุดงค์แล้ว ท่านก็ได้เดินทางมาจำพรรษาที่วัดศิลาโมงเรื่อยมา หลวงพ่อทบท่านจำพรรษาที่วัดศิลาโมง ขณะนั้นท่านอยู่ในฐานะพระลูกวัดธรรมดา ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นพระลูกวัดธรรมดา ท่านก็เป็นผู้นำในการก่อสร้างถาวรวัตถุหลายอย่างในวัดศิลาโมง จนเจริญรุ่งเรืองกว่าวัดอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน พอถึงปี พ.ศ.2466 หลวงพ่อทบ จึงได้ย้ายไปจำพรรษาที่ วัดเสาธงทอง ตำบลนายม อำเภอเมือง จังหวัด เพชรบูรณ์ ซึ่งก็อยู่ห่างจากวัดศิลาโมงออกไปเล็กน้อยเมื่อท่านมาจำพรรษที่วัดเสาธงทอง ซึ่งในขณะนั้นมี พระอธิการย่อง เป็นเจ้าอาวาส ท่านได้ช่วยพัฒนาวัดเสาธงทองให้เจริญรุ่งเรืองจนผิดหูผิดตาเลยทีเดียว พอดีเจ้าอาวาสวัดเกาะแก้ว ตำบลนายม อำเภอเมือง จังหวัด เพชรบูรณ์ ว่างมานาน ทางคณะสงฆ์จึงแต่งตั้งให้หลวงพ่อทบเป็นเจ้าอาวาสวัดเกาะแก้วเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2472 จากนั้นเป็นต้นมาท่านก็เป็นเจ้าอาวาสวัดต่างๆ ตามลำดับดังนี้1. พ.ศ. 2472 – 2479 เป็นเจ้าอาวาสวัดเกาะแก้ว2. พ.ศ. 2476 – 2478 เป็นเจ้าอาวาสวัดเสาธงทอง3. พ.ศ. 2479 – 2499 เป็นเจ้าอาวาสวัดสว่างอรุณ4. พ.ศ. 2480 – 2497 เป็นเจ้าอาวาสวัดศิลาโมง5. พ.ศ. 2500 – 2519 เป็นเจ้าอาวาสวัดชนแดนตามข้อมูลข้างบนนี้ จะเห็นว่าทางราชการและคณะสงฆ์มองเห็นความสำคัญของท่าน จึงได้แต่งตั้งให้ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดต่างๆ หลายวัด บางวัดก็แต่งตั้งให้ท่านรักษาการเจ้าอาวาสไปก่อน รอจนกว่าจะมีการแต่งตั้งเจ้าอาวาสตัวจริง เราจะเห็นว่าหลวงพ่อทบทำงานหนักมาก ต่อไปจะเป็นประวัติของวัดต่างๆ ที่หลวงพ่อทบเคยไปเป็นเจ้าอาวาส วัดเกาะแก้ว วัดเกาะแก้ว หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า วัดเกาะ ตั้งอยู่เลขที่ 106 บ้านนายม ตำบลนายม อำเภอเมือง จังหวัด เพชรบูรณ์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีที่ดินตั้งวัดจำนวน 18 ไร่ 93 ตารางวา อาณาเขตทิศเหนือ 87 ตารางว่า ติดต่อกับลำคลองวังชมภู ตาม น.ส. 3 ก. เลขที่ 585 พื้นที่วัดเป็นที่ราบ มีลำคลองและทางสาธารณะล้อมรอบ อาคารเสนาสนะต่างๆ มีพระอุโบสถกว้าง 11 เมตร ยาว 13.20 เมตร สร้างมาแต่โบราณ ศาลาการเปรียญ 1 หลัง สร้างเมื่อ พ.ศ.2520 กุฏิสงฆ์มีจำนวน 2 หลังเป็นอาคารไม้ สำหรับปูชนียวัตถุมีพระประธานในอุโบสถ ปางมารวิชัย เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่มาก และมีเจดีย์ 7 องค์ กล่าวกันว่าสร้างมาแต่สมัยลพบุรี วัดเกาะแก้วเดิมเป็นวัดที่สร้างขึ้นมานานก่อนสมัยสุโขทัย แต่คงจะทรุดโทรมลงบ้างตามกาลเวลา และได้มีการบูรณะก่อสร้างให้เป็นวัดที่มั่นคงนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2398 เป็นต้นมา หลวงพ่อทบได้มาเป็นเจ้าอาวาสเมื่อ พ.ศ. 2472-2479 วัดเสาธงทอง วัดเสาธงทอง หมู่ที่ 4 ตำบลนายม อำเภอเมือง จังหวัด เพชรบูรณ์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีที่ดินตั้งวัดจำนวน 40 ไร่ อาณาเขต ทิศเหนือยาว 4 เส้น ติดต่อกับวังชมภู ทิศใต้ยาว 4 เส้น ติดต่อกับถนนหลวง ทิศตะวันออกยาว 10 เส้น ติดต่อกับหมู่บ้าน ทิศตะวันตกยาว 10 เส้น ติดต่อกับวัดร้าง ซึ่งมี น.ส. 3 ก. เป็นหลักฐาน พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบ อาคารเสนาสนะต่างๆ มีพระอุโบสถกว้าง 8.40 เมตร ยาว 9.55 เมตร สร้างเมื่อปี พ.ศ.2519 โครงสร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กศาลาการเปรียญกว้าง 16.40 เมตร ยาว 28.90 เมตร สร้างปี 2510 กุฏิมีจำนวน 13 หลัง เป็นอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ สำหรับปูชนียวัตถุมีพระประธานในพระอุโบสถ พระพุทธรูปปางห้ามญาติ และพระมหากัจจายนะ วัดเสาธงทอง เดิมเป็นวัดที่สร้างมานานกว่า 700 ปี ต่อมาได้ชำรุดทรุดโทรมลง และได้มีการสร้างให้เป็นวัดขึ้นอีก ประมาณปี พ.ศ.2387 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ.2519 หลวงพ่อทบท่านได้มาเป็นเจ้าอาวาสเมื่อ พ.ศ.2476-2478วัดสว่างอรุณ วัดสว่างอรุณ หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า วัดใน ตั้งอยู่เลขที่ 88 ในหมู่บ้านชนแดน หมู่ที่ 1 ตำบลชนแดน อำเภอชนแดน จังหวัด เพชรบูรณ์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีที่ดินตั้งวัดจำนวน 8 ไร่ 1 งาน 10 ตารางวา อาณาเขต ทิศเหนือยาว 80 วา ติดต่อกับถนนสาธารณะ ทิศใต้ยาว 75 วา ติดต่อกับหมู่บ้านชนแดน ทิศตะวันออกยาว 29 วา ติดต่อกับที่ดินนายอัง ทิศตะวันตกยาว 60 วา ติดต่อกับถนนสาธารณะ พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบลุ่ม สภาพแวดล้อมเป็นทุ่งนาและหมู่บ้าน อาคารเสนาสนะต่างๆ มีพระอุโบสถกล้าง 6 เมตร ยาว 11 เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ.2384 ศาลาการเปรียญกล้วง 12 เมตร ยาว 20 เมตร สร้างเมื่อปี พ.ศ.2482 หอสวดมนต์กว้าง 6 เมตร ยาว 10 เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ.2524 เป็นอาคารไม้ชั้นเดียว กุฏิสงฆ์จำนวน 3 หลัง สำหรับปูชนียวัตถุมีพระประธานในพระอุโบสถเป็นพระพุทธรูปปั้น วัดสว่างอรุณสร้างขึ้นเป็นวันนับตั้งแต่ประมาณ พ.ศ.2451 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ในปี พ.ศ.2455 มีพระภิกษุจำพรรษาอยู่ 8 รูป สามเณร 4 รูป ทางวัดได้เปิดสอนพระปริยัติธรรมที่วัดนี้ และใช้เป็นที่สอบธรรมสนามหลวงด้วย หลวงพ่อทบได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดสว่างอรุณ เมื่อ พ.ศ.2479-2499 วัดศิลาโมง วัดศิลาโมง ตั้งอยู่เลขที่ 170 บ้านยางหัวลม หมู่ที่ 8 ตำบลวังชมภู อำเภอเมือง จังหวัด เพชรบูรณ์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีที่ดินตั้งวัดเนื้อที่ 11 ไร่ 60 ตารางวา อาณาเขตทิศเหนือยาว 100 เมตร ติดต่อกับทางสาธารณะ ทิศใต้ยาว 150 เมตร ติดต่อกับทางสาธารณะ ทิศตะวันออกยาว 200 เมตร ติดต่อกับที่ดินของนายป้อม ทัพมีบุญ และทางสาธารณะ ทิศตะวันตกยาว 75 เมตร ติดต่อกับทางสาธารณะ ตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 112 พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบลุ่มอยู่ท่ามกลางหมู่บ้าน อาคารเสนาสนะต่างๆ มีพระอุโบสถกว้าง 6 เมตร ยาว 9 เมตร สร้างประมาณ พ.ศ.2450 ศาลาการเปรียญ กว้าง 12 เมตร ยาว 15 เมตร สร้าง พ.ศ.2522 หอสวดมนต์กว้าง 4 เมตร ยาว 8 เมตร สร้าง พ.ศ. 2516 กุฏิสงฆ์จำนวน 2 หลัง สำหรับปูชนียวัตถุมีพระประธานในอุโบสถและมีเจดีย์เก่าปรักหักพัง วัดศิลาโมง สร้างขึ้นเป็นวัดตั้งแต่ พ.ศ.2425 ชาวบ้านเรียกว่าวัดยางหัวลม ตามชื่อของหมู่บ้าน ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อปี พ.ศ.2450 และหลวงพ่อทบ ท่านได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดศิลาโมง เมื่อ พ.ศ.2480-2497 วัดพระพุทธบาทชนแดน วัดพระพุทธบาทชนแดน ตั้งอยู่เลขที่ 99 บ้านเขาน้อย หมู่ที่ 4 ตำบลชนแดน อำเภอชนแดน จังหวัด เพชรบูรณ์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีที่ดินตั้งวัดเนื้อที่ 27 ไร่ 3 งาน อาณาเขต ทิศเหนือติดต่อกับภูเขาน้อยและหมู่บ้าน ทิศใต้ยาว 4 เส้น ติดกับถนนใหญ่ ทิศตะวันออกยาว 5 เส้น ติดต่อกับลำคลอง ทิศตะวันตกยาว 2 เส้น ติดกับถนนสายวัดโป่ง ซึ่งมี น.ส.3 ก. เลขที่ 1361 พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ลาดเอียงอยู่ติดต่อกับภูเขา สภาพแวดล้อมเป็นหมู่บ้านและป่าไม้ อาคารและเสนาสนะต่างๆ มีพระอุโบสถ สร้าง พ.ศ.2517 พื้นปูด้วยหินอ่อน ศาลาการเปรียญกว้าง 24 เมตร ยาว 34 เมตร สร้าง พ.ศ.2522 เสาคอนกรีตยกพื้นสูง หอสวดมนต์กว้าง 6 เมตร ยาว 12 เมตร สร้าง พ.ศ.2510 มีกุฏิสงฆ์จำนวน 7 หลัง สำหรับปูชนียวัตถุมีพระประธานในพระอุโบสถ และรอยพระพุทธบาทจำลองที่ประดิษฐานอยู่บนภูเขา วัดพระพุทธบาทชนแดน กระทรวงศึกษาได้ประกาศเป็นวัดตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2516 ชาวบ้านมักเรียกว่าวัดพระพุทธบาทเขาน้อย หรือวัดเขาน้อย เพราะตั้งอยู่ที่เขาน้อย โดยมีนายปั้น ก้อนพล บริจาคที่ดินให้สร้างวัด ซึ่งได้มอบถวายแด่หลวงพ่อทบ พระเกจิอาจารย์ในภูมิภาคนี้ การสร้างวัดได้ดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ.2490 ได้รับวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2517 เขตวิสุงคามสีมา กว้าง 20 เมตร ยาว 40 เมตร ได้ผูกพัทธสีมา เมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ.2517 ได้เปิดโรงเรียนสอนพระปริยัติธรรม เมื่อปี พ.ศ.2512 หลวงพ่อทบท่านได้มาเป็นเจ้าอาวาส วัดพระพุทธบาทชนแดน เมื่อ พ.ศ. 2500-2519 วัดช้างเผือก วัดช้างเผือก ตั้งอยู่เลขที่ 313 บ้างยางหัวลม หมู่ที่ 7 ตำบลวังชมภู อำเภอเมือง จังหวัด เพชรบูรณ์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ที่ดินตั้งวัดเนื้อที่ 14 ไร่ 2 งาน 10 ตารางวา อาณาเขต ทิศเหนือยาว 80 เมตร ติดต่อถนนสาธารณะ ทิศใต้ยาว 160 เมตร ติดต่อกับที่นาของนางแล่ม ชีพราหมณ์ ทิศตะวันออกยาว 170 เมตร ติดต่อกับที่ดินของบริษัทจุลไหมไทย จำกัด ทิศตะวันตกยาว 190 เมตรติดต่อกับที่ดินของนายชู ชาวใต้ ซึ่งมี น.ส. 3 ก. เลขที่ 219 พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบ อาคารเสนาสนะต่างๆ มีดังนี้ ศาลาการเปรียญกว้าง 12 เมตร ยาว 15 เมตร สร้าง พ.ศ.2517 หอสวดมนต์กว้าง 9 เมตร ยาว 12 เมตร สร้าง พ.ศ.2512 กุฏิสงฆ์มีจำนวน 2 หลัง มณฑปเก็บศพหลวงพ่อทบ สร้าง พ.ศ.2520 อุโบสถหลังใหม่สร้างแทนหลังเดิม วางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2519 ก่อสร้างแล้วเสร็จและผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิต เมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ.2535 วัดช้างเผือกสร้างขึ้นก่อน พ.ศ.2440 ก่อนหลวงพ่อทบจะบรรพชาเป็นสามเณรมีพระอาจารย์สีเป็นเจ้าอาวาส หลังจากพระอาจารย์สีมรณภาพแล้วตามประวัติไม่ได้ระบุว่ามีพระภิกษุมาจำพรรษา จึงทำให้กลายเป็นวัดร้าง จน พ.ศ.2516 หลวงพ่อทบได้มาบูรณปฏิสังขรณ์ใหม่ ใช้เวลาบูรณะอยู่ 3 ปี ตัวของท่านก็ปวยและมรณภาพในวันงานศิลาฤกษ์พระอุโบสถหลังที่ 17 ปัจจุบันวัดช้างเผือกมีพระอธิการพรหม จันทปัญโญ เป็นเจ้าอาวาส
ปฏิปทาของหลวงพ่อ หลวงพ่อทบ ท่านเป็นพระที่มีเมตตา เยือกเย็นสุขุม ปรานีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย พูดน้อย ชอบการก่อสร้าง จะเห็นได้ว่าภายหลังจากที่ท่านได้อุปสมบทแล้ว ได้ทำการก่อสร้างบูรณะวัดวาอาราม ไปตามสถานที่ต่างๆ ท่านได้เป็นผู้นำทำการก่อสร้างพระอุโบสถสำเร็จเรียบร้อยไปแล้วถึง 16 หลัง ทั้งยังได้วางศิลาฤกษ์หลังที่ 17 ไว้แล้วที่วัดช้างเผือก ตำบลวังชมภู อำเภอเมือง จังหวัด เพชรบูรณ์ ก็พอดีท่านมรณภาพเสียก่อน ทั้งนี้ไม่นับผลงานของท่านอีกมากมาย เช่น กุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ บ่อน้ำ สระน้ำ และอื่นๆ อีก คุณวิเศษอีกอย่างหนึ่งของหลวงพ่อทบก็คือ ท่านเป็นพระภิกษุที่ไม่เลือกชั้นวรรณะ ตลอดชีวิตของท่านให้การต้อนรับแกบุคคลทั้งหลายเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการมียศถาบรรดาศักดิ์ใหญ่โตเพียงใด มั่งมีหรือยากจน ผู้ใดเดินทางไปกราบท่านก็จะได้รับการต้อนรับเท่าเทียมกันหมด ไม่มียินดียินร้ายหรือทะเยอทะยานในลาภ ยศ สรรเสริญ ตรงกันข้าม เมื่อผู้ใดมีความทุกข์ไปหาท่าน ก็จะได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างดี เป็นผู้มักน้อยสันโดษ ไม่นิยมการสะสมเงินทองหรือทรัพย์สมบัติใดๆ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเมื่อท่านมรณภาพแล้วจึงไม่มีทรัพทย์สินใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับทางโลกอันเป็นส่วนตัวของท่านเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้ ยังเป็นผู้มีกตัญญูรู้คุณครูบาอาจารย์ ตั้งอยู่ในโอวาทคำสั่งสอน ท่านเคยพูดว่าที่ต้องกลับมาอยู่วัดช้างเผือกอีก ก็เพราะว่าพระอาจารย์สี พระอาจารย์ของท่านได้สั่งเอาไว้ว่า วาระสุดท้ายให้มาอยู่ประจำวัดนี้อย่าให้ร้าง ทั้งท่านยังได้กล่าวอีก(พ.ศ. 2518) ว่าตัวของท่านขณะนี้ตายแล้ว เพียงแต่ไม่เน่าเท่านั้นเอง
มีวาจาสิทธิ์ คุณวิเศษอีกอย่างหนึ่งของหลวงพ่อทบก็คือ ท่านเป็นผู้มี วาจาสิทธิ์ คือกล่าวอะไรก็เป็นเช่นนั้น คนที่ทราบเรื่องดีต่างก็มีความยำเกรงมาก โดยเฉพาะพวกอันธพาลงานวัดหลายคนประสบมา ในสมัยที่หลวงพ่อทบเคยเป็นประธานในงานพระอุโบสถ กุฏิสงฆ์ วิหาร ที่ได้สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว บางแห่งได้มีพวกนักเลงหัวไม้ก่อการทะเลาะวิวาทตีหัวฟันแทนกันบ้าง เสร็จแล้วก็วิ่งมาหลบหนีเจ้าหน้าที่ตำรวจคนละทิศละทาง จนเป็นที่หวั่นเกรงของประชาชนทำให้ไม่กล้ามาเที่ยวงาน เป็นอุปสรรคในการจัดงานของทางวัดอย่างใหญ่หลวง แต่พอเรื่องราวทราบถึงหลวงพ่อทบเท่านั้น ท่านก็บอกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า เจ้าพวกที่มาก่อเรื่องนี้มันไปไหนไม่รอดหรอก วนเวียนอยู่กับวัดนี้แหละ แล้วเหตุการณ์ก็จริงอย่างที่ท่านว่าไว้ อันธพาลก่อกวนงานวัดมันหาได้หลบหนี้ไปพ้นไม่ เหมือนมีอะไรมาฉุดรั้งพวกมันไว้ ให้พวกมันวิ่งวนเวียนอยู่ภายในวัดนั้นเองไปไหนไม่รอด ในที่สุดก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจลากตัวไปเข้าห้องขังจนได้ เมื่อเหตุเกิดบ่อยครั้งเข้าข่าวก็ขจายไปทั่ว ทุกคนก็เริ่มเชื่อแล้วว่าต้องเป็นเพราะความที่หลวงพ่อทบท่านมีวาจาสิทธิ์นั่นเอง มาในระยะหลังนี้จึงปรากฏว่าหากวัดไหนมีงาน ก็มักจะมานิมนต์หลวงพ่อไปเป็นประธาน ซึ่งก็ไม่ปรากฏว่ามีอันธพาลพวกไหนกล้าไปตอแยอีกเลย งานวัดก็ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยทุกประการ อุทาหรณ์เกี่ยวกับการมีวาจาสิทธิ์ของหลวงพ่อทบนี้ มีผู้เล่าลือต่อๆ กันไปหลายเรื่องด้วยกัน เคยมีผู้สมัครสอบเข้ารับราชการหรือนักเรียนนักศึกษาเป็นจำนวนมากได้มาขอพรจากหลวงพ่อขอให้สอบได้ ซึ่งท่านก็มักจะใช้มือตบที่ศรีษะผู้นั้นเพียบเบาๆ และให้พรว่า “สอบได้” เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จพิธี ส่วนมากก็จะเป็นไปตามที่ท่านให้พรนั้นทุกประการ ดังนั้นผู้ใดที่ได้สละเวลาเข้าไปให้ถึงตัวของท่านแล้วจึงไม่ผิดหวัง มีแต่ความสมหลังด้วยกันทั้งนั้น บางคนภรรยาลงเรือนไปหลายวันแล้วยังไม่กลับไม่ทราบว่าไปไหน เป็นตายร้ายดีอย่างไรก้บากหน้ามาหาท่าน ขอพรให้เมียกลับมาบ้านเสียที ท่านบอกกับผู้เป็นสามีว่า “กำลังกลับ” วันต่อมาชายคนที่ว่านี้ก็กลับมาหาหลวงพ่ออีกครั้ง คราวนี้เขาพูดว่า “เมียผมกลับบ้านแล้ว จึงมามนัสการหลวงพ่อ” ว่าแล้วก็ให้หลวงพ่อเป่ากระหม่อมให้ ท่านก็เมตตาเป่าให้ ชายคนดังกล่าวจึงเดินตัวปลิวลงจากกุฏิไป เกี่ยวกับเรื่องวาจาสิทธิ์ของหลวงพ่อทบนั้น มิใช่เหตุการณ์บังเอิญ อาจจะเป็นไปได้สองประการคือ ท่านรู้เหตุการณ์ข้างหน้าหนึ่ง และท่านเป็นผู้มีวาจาสิทธิ์หนึ่ง จะสังเกตเห็นได้ว่าท่านไม่เคยดุด่าว่ากล่าวใครเลย แม้แต่พระเณรในวัดท่านก็ไม่มีที่จะดุด่า ตรงกันข้ามท่านมักจะกล่าวแต่ถ้อยคำเสนาะ ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้บางคนเห็นว่าท่านเป็นคนพูดน้อยจนเกินไป ยิ่งถ้าเป็นพวกเด็กๆ ด้วยแล้วหลวงพ่อจะเลือกสรรกล่าวแต่ถ้อยคำที่เป็นสิริมงคลแกพวกเขามากยิ่งขึ้น เพื่อให้เด็กๆ ได้รับแต่สิ่งที่ดีนั่นเอง
สำเนาตราตั้งสมณะศักดิ์ ให้เจ้าอธิการทบ วัดสว่างอรุณ จังหวัด เพชรบูรณ์ เป็นพระครูวิชิตพัชรจารย์ ขอพระคุณจงรับธุระพระพุทธศาสนา เป็นภาระสั่งสอน ช่วยระงับอธิกรณ์ และอนุเคราะห์พระภิกษุสามเณรในอารามโดยสมควร จงเจริญสุขสวัสดิ์ในพระพุทธศาสนาเทอญ ตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2497 เป็นปีที่ 9 ในรัชกาลปัจจุบัน
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี
ปัจฉิมวัย เมื่อปี พ.ศ.2507 หลวงพ่อทบท่านมีอายุได้ 83 ปี ความไม่เที่ยงแห่งสังขารก็เริ่มรุกรานท่านให้เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ในระยะนี้นัยน์ตาของท่านก็เริ่มฝ้าฟางลง จนในที่สุดก็บอดมืดสนิททีเดียว ซึ่งนายแพทย์ผู้รักษากล่าวว่า นัยน์ตาของหลวงพ่อได้หมดอายุแล้ว ถึงแม้ว่าดวงตาของท่านจะมืดบอดไม่เห็น แต่ท่านก็ยังสร้างและบูรณะวัดวาอารามอีกหลายแห่ง และภายหลังจากที่ท่านได้ระลึกว่า การที่ท่านจะอยู่ในตำแหน่งโดยที่นัยน์ตาของท่านมองอะไรไม่เห็นเช่นนี้ น่าจะไม่ก่อประโยชน์อะไรขึ้นมา ฉะนั้นท่านจึงได้ขอลาออกจากตำแหน่งพระครูวิชิตพัชราจารย์ เจ้าคณะอำเภอชนแดน แต่ด้วยอำนาจบุญบารมีของท่านเกินกว่าจะกล่าวได้ เจ้าคณะจังหวัด เพชรบูรณ์ โดยฐานะกรมการศาสนา ก็มีมติให้ท่านคงดำรงตำแหน่งพระครูวิชิตพัชราจารย์กิตติมศักดิ์ต่อไปจนตลอดอายุ เมื่อหลวงพ่อทบท่านได้ลาออกจากสมณศักดิ์แล้ว ท่านยังคงคิดถึงวัดที่ท่านได้เคยอาศัยอยู่กับพระอาจารย์สีมาก่อน นั่นคือ วัดช้างเผือก ตำบลวังชมภู อำเภอเมือง จังหวัด เพชรบูรณ์ ซึ่งในขณะนั้นเป็นวัดร้างไม่มีผู้ใดจะคิดบูรณะ ร้างมาประมาณกว่า 30-40 ปี แล้ว อนึ่งท่านก็ยังคงจดจำคำของพระอาจารย์สีที่เคยบอกกับท่านไว้เมื่อ 68 ปีที่แล้ว่า หากถึงวาระสุดท้ายก็ให้กลับไปวัดช้างเผือก อย่าปล่อยให้ร้างนั้นได้อย่างแม่นยำ ดังนั้นท่านจึงได้ออกจากวัดพระพุทธบาทชนแดนทันทีที่ได้รับนิมนต์ให้มาช่วยบูรณะวัดศิลาโมง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดช้างเผือกนัก เพราะเห็นว่าสะดวกดีที่จะได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดช้างเผือกต่อไป หลวงพ่อทบท่านได้บูรณะวัดศิลาโมง จนเห็นว่าสมควรจะได้ไปทำการบูรณะวัดช้างเผือกแล้ว ท่านก็ได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดช้างเผือกซึ่งร้างรอท่านให้ช่วยปลูกฟื้นฟูอยู่ หลังจากนั้นวัดช้างเผือกก็เปลี่ยนสภาพจากวัดร้างที่ไม่มีใครสัญจรไปมา นอกเสียจากพวกเด็กเลี้ยงควายจะได้ไปอาศัยพักร่มเงาบนกุฏิที่เก่าคร่ำคร่าจะพังมิพังแหล่ ซึ่งมีอยู่หลังเดียวกับศาลาการเปรียญที่ทรุดโทรมอย่างถึงที่สุดแล้ว พระอุโบสถแลเห็นเพียงแต่ฐาน เพราะส่วนบนปรักหักพังลงมาจนหมดสิ้น กลับกลายเป็นวัดที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดของตำบลวังชมพูในปัจจุบัน
อาพาธมาเยือน เมื่อวันที่ 13 เดือนมีนาคม พ.ศ.2519 ทางคณะกรรมการวัดช้างเผือกได้จัดให้มีงานประจำปี พร้อมทั้งทำพิธีวางศิลาฤกษ์พระอุโบสถหลังใหม่ ซึ่งจะได้สร้างขึ้นแทนหลังเดิม ซึ่งได้ปรักหักพังจนหมดสิ้นดังกล่าวข้างต้น ในวันดังกล่าวปรากฏว่า ประชาชนได้หลั่งไหลไปยังบริเวณงานวัดช้างเผือกอย่างมือฟ้ามัวดิน และอย่างไม่คาดฝันมาก่อน พอตกกลางคืนนั้นเองก็บังเกิดพายุจัด ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก การแสดงมหรสพทั้งหมดที่มีผู้นำมาเปิดวิกจึงได้งดทำการแสดงทั้งหมด ฝนตกกระหน่ำอยู่ประมาณ 5 ชั่วโมงจึงหยุด ทุกสิ่งทุกอย่างแห่งธรรมชาติกลับคืนสู่สภาพปกติ แต่ทว่าที่บนกุฏิของหลวงพ่อทบ ซึ่งแวดล้อมไปด้วยลูกศิษย์และญาติโยม ทุกคนเริ่มใจคอไม่ดี ด้วยสังเกตเห็นว่าหลวงพ่อทบเริ่มมีอาการผิดปกติกว่าที่เป็นมามาก พยายามลุกนั่งและฉันหมากอยู่เสมอ มิหนำซ้ำยังได้พูดถึงศพของท่านว่า หากตัวท่านมรณภาพลงจริงๆ แล้ว อย่าได้เผาเป็นอันขาด ให้สร้างเป็นวิหารหรือมณฑปเก็บศพไว้ มิฉะนั้นแล้วความเจริญหรือการปฏิสังขรณ์ใดๆ ที่วัดช้างเผือก ที่กำลังดำเนินการอยู่จะหยุดชะงักลงไปทันที วัดก็จะกลับไปร้างอีก นายแฉล้ม ชีพราหมณ์ ซึ่งในระยะหลังนี้นับว่าเป็นศิษย์ผู้ใกล้ชิดมากที่สุด มีหน้าที่คอยติดตามหลวงพ่อทบไปทุกแห่งที่ได้รับนิมนต์ไป ได้รับคำหลวงพ่อทบว่า “จะทำตามที่สั่งทุกอย่าง” หลวงพ่อทบจึงมีอาการแจ่มใสขึ้น พูดคุยอย่างสนุกสนาน ทำให้บรรยากาศที่ตึงเครียดด้วยหัวใจที่หวาดหวั่นของลูกศิษย์และผู้ที่เฝ้าอยู่นั้นผ่อนคลายลงได้
ถึงกาลมรณภาพ แต่แล้วเหมือนฟ้าผ่ามาลงท่ามกลางท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งปราศจากเมฆฝนแม้แต่น้อย เมื่อเวลาประมาณเที่ยงวันเศษของวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ.2519 หลวงพ่อทบเหมือนเป็นไข้ นายแฉล้ม ชีพราหมณ์ เป็นผู้สังเกตอาการของหลวงพ่อทบได้ดีกว่าผู้อื่น เริ่มมีอาการวิตกกังวลเต็มไปด้วยความกระสับกระส่าย เขาตัดสินใจนำรถมารับหลวงพ่อทบเพื่อที่จะรีบพาท่านไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯทันที แล้วอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ในขณะที่รถกำลังพาท่านไปกรุงเทพฯ มาถึงตำบลนาเฉลียง ออกจากวัดช้างเผือกมาได้ประมาณ 15 กิโลเมตร หลวงพ่อทบก็ปิดเปลือกตาลงอย่างสนิท พร้อมกับการกำหนดลมหายใจเป็นครั้งสุดท้าย มันเป็นเวลาสี่โมงเย็นพอดี หลวงพ่อทบก็มรณภาพลงอย่างสงบบนรถนั่นเอง ข่าวหลวงพ่อทบมรณภาพดังกึกก้องอย่างรวดเร็ว ประชาชนทั่วทุกสารทิศที่ได้ทราบข่าวต่างก็พากันมุ่งตรงมายังวัดช้างเผือกในทันที วันแล้ววันเล่าที่คณะกรรมการวัดต้องทำงานอย่างหนัก ข้าวของเครื่องบริขารของหลวงพ่อได้รับการสำรวจอย่างถี่ถ้วนโดยเฉพาะพระเครื่องรางของขลังทั้งหมดได้ถูกเก็บรวบรวมในทันที เพื่อรอการตรวจเช็คของกรรมการต่อไป ประชาชนจำนวนเรือนหมื่นได้ไปออกันอยู่ที่วัดช้างเผือกตลอดเวลาที่มีพิธีบำเพ็ญกุศลมิได้ขาด จนกระทั่งครบ 100 วัน ศพของท่านยังคงเก็บไว้ที่วัดช้างเผือกตลอดมา มิได้ทำการณาปนกิจหรือเผาแต่อย่างใด ทั้งนี้เพื่อทำตามคำสั่งของท่านที่ให้เก็บศพไว้เพื่อสร้างมณฑปและโลงแก้ว สำหรับใช้เป็นที่เก็บศพของท่านอย่างถาวร ให้ลูกหลานได้กราบไหว้ต่อไป ความมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่งสำหรับพระเกจิอาจารย์อย่างหลวงพ่อทบ เป็นเรื่องเกี่ยวกับวันเกิดและวันมรณภาพของท่าน ซึ่งไม่น่าจะมาคล้องจองกันได้อย่างประหลาด กล่าวคือ หลวงพ่อทบเกิดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2424 ตรงกับวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 4 ปีมะเส็ง แล้วมรณภาพในวันที่ 14 มีนาคม 2519 เวลาบ่าย 4 โมงเย็น ตรงกับวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 4 ปีเถาะ(4) รวมอายุได้ 95 ปี (9+5=14)
เรียบเรียงโดย อาจารย์ วีรวัฒน์ วงศ์วาน
การเดินทางไปจังหวัดเพชรบูรณ์
1. โดยรถยนต์ส่วนตัว
เส้นทางที่ 1 จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1 ถึงจังหวัดสระบุรีเลยไปจนถึงสวนพฤกษศาสตร์พุแคตรง กิโลเมตรที่ 125 แยกขวามือเข้าทางหลวงหมายเลข 21 ผ่านอำเภอชัยบาดาล อำเภอศรีเทพ อำเภอวิเชียรบุรี ต่อไปอีก ประมาณ 221 กิโลเมตร ถึงจังหวัดเพชรบูรณ์ รวมระยะทางประมาณ 346 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 5 ชั่วโมง
เส้นทางที่ 2 จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1ถนนพหลโยธิน ถึงอำเภอวังน้อยแล้วแยกเข้าเส้นทาง หลวงหมายเลข 32 ผ่านจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท เข้านครสวรรค์แล้วใช้เส้นทาง หมายเลข 117 ตรงเข้าจังหวัดพิษณุโลก จากนั้นใช้ทางหมายเลข 12เส้นพิษณุโลก-หล่มสัก ผ่านเขาค้อ-หล่มสัก เข้าจังหวัดเพชรบูรณ์ รวมระยะทาง 547 กิโลเมตร
2.รถโดยสารประจำทาง
- บริษัท ขนส่ง จำกัด มีบริการเดินรถปรับอากาศชั้น 2 และรถธรรมดากรุงเทพฯ-เพชรบูรณ์-หล่มสัก ออกจากสถานีขนส่งหมอชิต 2 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 0 2936 2852–66 สาขาเพชรบูรณ์ โทร. 0 5672 1581 -บริษัทเอกชนบริการเดินรถปรับอากาศชั้น 1 ในเส้นทางเดียวกัน ได้แก่ เพชรทัวร์ โทร. 0 2936 3230 สาขาเพชรบูรณ์ โทร. 0 5672 2818 - บ. ถิ่นสยามทัวร์ โทร. 0 2936 0500, 0 2513 9077 (จากกรุงเทพฯ มีรถประมาณ 8 เที่ยวตั้งแต่เวลา 09.30 น.- 23.30 น.) สาขาเพชรบูรณ์ โทร. 0 5672 1913 สาขาหล่มสัก โทร. 0 5670 1613 (จากหล่มสักมีรถประมาณ 7 เที่ยว ตั้งแต่เวลา 08.30 น. - 24.00 น.)
เส้นทางที่ 1 จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1 ถึงจังหวัดสระบุรีเลยไปจนถึงสวนพฤกษศาสตร์พุแคตรง กิโลเมตรที่ 125 แยกขวามือเข้าทางหลวงหมายเลข 21 ผ่านอำเภอชัยบาดาล อำเภอศรีเทพ อำเภอวิเชียรบุรี ต่อไปอีก ประมาณ 221 กิโลเมตร ถึงจังหวัดเพชรบูรณ์ รวมระยะทางประมาณ 346 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 5 ชั่วโมง
เส้นทางที่ 2 จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1ถนนพหลโยธิน ถึงอำเภอวังน้อยแล้วแยกเข้าเส้นทาง หลวงหมายเลข 32 ผ่านจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท เข้านครสวรรค์แล้วใช้เส้นทาง หมายเลข 117 ตรงเข้าจังหวัดพิษณุโลก จากนั้นใช้ทางหมายเลข 12เส้นพิษณุโลก-หล่มสัก ผ่านเขาค้อ-หล่มสัก เข้าจังหวัดเพชรบูรณ์ รวมระยะทาง 547 กิโลเมตร
2.รถโดยสารประจำทาง
- บริษัท ขนส่ง จำกัด มีบริการเดินรถปรับอากาศชั้น 2 และรถธรรมดากรุงเทพฯ-เพชรบูรณ์-หล่มสัก ออกจากสถานีขนส่งหมอชิต 2 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 0 2936 2852–66 สาขาเพชรบูรณ์ โทร. 0 5672 1581 -บริษัทเอกชนบริการเดินรถปรับอากาศชั้น 1 ในเส้นทางเดียวกัน ได้แก่ เพชรทัวร์ โทร. 0 2936 3230 สาขาเพชรบูรณ์ โทร. 0 5672 2818 - บ. ถิ่นสยามทัวร์ โทร. 0 2936 0500, 0 2513 9077 (จากกรุงเทพฯ มีรถประมาณ 8 เที่ยวตั้งแต่เวลา 09.30 น.- 23.30 น.) สาขาเพชรบูรณ์ โทร. 0 5672 1913 สาขาหล่มสัก โทร. 0 5670 1613 (จากหล่มสักมีรถประมาณ 7 เที่ยว ตั้งแต่เวลา 08.30 น. - 24.00 น.)
การเดินทางจากอำเภอเมืองเพชรบูรณ์ไปยังอำเภอต่าง ๆ
อำเภอเมือง อำเภอหล่มสัก อำเภอเขาค้อ อำเภอชนแดน อำเภอหล่มเก่า อำเภอหนองไผ่ อำเภอวังโป่ง อำเภอบึงสามพัน อำเภอวิเชียรบุรี อำเภอศรีเทพ อำเภอน้ำหนาว | - กิโลเมตร 44 กิโลเมตร 47 กิโลเมตร 52 กิโลเมตร 55 กิโลเมตร 56 กิโลเมตร 70 กิโลเมตร 83 กิโลเมตร 106 กิโลเมตร 123 กิโลเมตร 140 กิโลเมตร |